วันเสาร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 6
วันอังคาร ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2561
เวลา 14.30 - 17.30 น.
เนื้อหาการเรียน
                            -  สาระที่ควรเรียนรู้
เรื่องราวเกี่ยวกับตัวเด็ก
              รู้จักชื่อ-นามสกุล รูปร่าง หน้าตา อวัยวะต่างๆ วิธีระวังรักษาร่างกายให้สะอาด ปลอดภัย เรียนรู้ที่จะเล่นและทำสิ่งต่างๆ ด้วยตนเองคนเดียวหรือกับผู้อื่น ตลอดจนเรียนรู้ที่จะแสดงความคิดเห็น ความรู้สึก และแสดงมารยาทที่ดี
เรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลและสถานที่แวดล้อมเด็ก
              รู้จักและรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัว สถานศึกษา ชุมชน รวมทั้งบุคคลต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง หรือมีโอกาสใกล้ชิดและมีปฎิสัมพันธ์ในชีวิตประจำวัน
ธรรมชาติรอบตัว
              รู้จักสิ่งมีชีวิตที่เป็นต้นไม้ ดอกไม้ สัตว์ รวมทั้งความเปลี่ยนแปลงของโลกที่แวดล้อมเด็กตามธรรมชาติ เช่น ฤดูกาล กลางวัน-กลางคืน ฯลฯ
สิ่งต่างๆ รอบตัวเด็ก
             รู้จักสิ่งของเครื่องใช้ ยานพาหนะ และการสื่อสารต่างๆ ที่ใช้อยู่ในชีวิตประจำวันของเด็ก

                          - กิจกรรมศิลปะ มีดังนี้ การวาด การปั้น การประดิษฐ์ การร้อยสาน การฉีกปะ
กิจกรรมศิลปะที่ควรมี คือ การวาดภาพด้วยสีเทียนและการปั้น

ประสาทสัมผัสทั้ง 5


                         - อาจารย์ให้นักศึกษาวิเคราะห์ว่าอยากให้เด็กได้ความรู้ในสาระต่างๆในเรื่องใดบ้าง
1. คณิตศาสตร์ (ดูจากรอบมาตรฐาน)
2. วิทยาศาสตร์ (ดูจากสาระทางวิทยาศาสตร์) เช่น กำหนดประเด็นปัญหา ตั้งสมมติฐาน (คำถามที่ทำให้เด็กตั้งสมมติฐาน เช่น ถ้าครูเอาไข่ใส่ในกระทะที่มีน้ำมันร้อนๆจะเกิดอะไรขึ้น ส่งผลให้เกิดสมมติฐาน ว่า ถ้าครูเอาไข่ใส่ในกระทะที่มีน้ำมันร้อนๆไข่จะสุก) ทดลอง สรุปผล
3. ภาษา
4. ศิลปะ (คิดว่าจะทำศิลปะอะไรเป็นพิเศษ ที่ไม่ใช่การวาดภาพด้วยสีเทียนและการปั้น)
5. สุขศึกษา ร่างกาย
6. สังคม คุณธรรม จริยธรรม


                        - วางแผนว่าในแต่ละวัน วันจันทร์ - วันศุกร์ จะสอนกิจกรรมอะไร


การวิเคราะห์ว่าอยากให้เด็กได้ความรู้ในสาระต่างๆในเรื่องใดบ้างเพื่อนกลุ่มอื่นๆ





การวางแผนของเพื่อนกลุ่มอื่นๆ




ทักษะที่ได้รับ
                        - ทักษะการคิด                     
                        - ทักษะการวางแผน
                        - ทักษะการแก้ไขปัญหา
                     
การประยุกย์ใช้
                        - นำไปใช้ในการวางแผนการเรียนการสอน

บรรยากาศภายในห้องเรียน
                         - อากาศเย็น แสงส่องเข้ามาในห้องเรียนพอสมควร

ประเมินตนเอง
                        ตั้งใจฟังอาจารย์
                        - ให้ความร่วมมือกับกิจกรรมเป็นอย่างดี

ประเมินเพื่อน
                       - เพื่อนๆทุกคนให้ความร่วมมือกับกิจกรรมเป็นอย่างดี

ประเมินอาจารย์
                        - แต่งกายสุภาพเรียบร้อย

                        - มีน้ำเสียงที่น่าฟัง พูดเสียงดังฟังชัด

วันศุกร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 5
วันจันทร์ ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2561
เวลา 8.30 - 11.30 น.


เนื้อหาการเรียน
                          - อาจารย์ให้นักศึกษากลุ่มที่ได้รับมอบหมายหัวข้องานออกมานำเสนองานตามหัวข้อ
กลุ่มที่ 1 เทคนิคการสอนแบบ storyline




storyline
              เป็นการนำสาระการเรียนรู้จากหลากหลายเรื่องมาเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน เพื่อจัดการเรื่องรู้ภายใต้
หัวเรื่องเดียวกัน โดยผูกเรื่องเป็นตอนๆ เรื่องแต่ละตอนจะต่อเนื่องกันและมีลำดับเหตุการณ์และเส้น
ทางการเดินเรื่อง และใช้คำถามหลักเป็นการนำไปสู่การทำกิจกรรมอย่างหลากหลาย โดยการลงมือ
ฎิบัติ เน้นการคิด วิเคราะห์ กระบวนการกลุ่ม

ลักษณะของ storyline
- ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่
- เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
- ทุกคนมีโอกาสแสดงความสามารถ
- สร้างความตื่นตัวให้ผู้เรียนอยู่เสมอ
- ฝึกทักษะพื้นฐานกับชีวิตจริง
- สร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของ
- ใช้ได้ดีกับการเรียนรู้
- ภาษา สิ่งแวดล้อม

องค์ประกอบและลักษณะกิจกรรม
ฉาก
1.แบ่งกลุ่มสร้างภาพ สองมิติ สามมิติ
2.กำหนดรายการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสถานที่
3.ร่วมกันอภิปรายภาพและสิ่งที่เกิดขึ้น
ตัวละคร
1.ช่วยกันสร้าง (วาด ประดิษฐ์) ตัวละครที่กำหนดขึ้น
2.ช่วยกันเสนอแนะว่ามีใครบ้าง ที่จำเป็นต้องมีอยู่ในเรื่องนี้
3.เล่าเขียนอธิบายลักษณะนิสัย เพื่อนำไปเป็นเนื้อหาสาระการเรียนรู้ต่อไป
การดำเนินชีวิต
1.ร่วมกันอภิปรายถึงวิถีชีวิต ของบุคคลต่าง ๆ ในการดำเนินชีวิตตามลักษณะความเป็นอยู่
2.กิจวัตรประจำวัน การเดินทาง
เหตุการณ์
1.ผู้เรียนได้ข้อสนอแนะถึงความเป็นไปได้ โดยการอภิปรายหรือถกเถียงร่วมกัน
2.ผู้เรียนสะท้อนภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อธิบายเรื่องราวในแง่มุมต่าง ๆ
กฎระเบียบ
1.ผู้เรียนอภิปรายถึงการกำหนดแนวทาง หลักการปฏิบัติดำเนินชีวิตร่วมกัน ตามเนื้อหาสาระ
2.เขียน พิมพ์แนวทาง แผนงาน นโยบาย กิจกรรม ข้อตกลง ปิดประกาศ แจ้งให้ทราบทั่วกัน
จังหวะเวลา
1.ให้เหตุผลต่อเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น ตามช่วงเวลาต่างๆ
2.พัฒนาแนวคิดต่างๆ โดยการอภิปราย ปฏิบัติงานร่วมกันและบันทึกข้อมูล
เหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้น
1.ผู้สอนและผู้เรียนร่วมสร้างสรรค์กิจกรรมที่นำไปสู่การสรุปเรื่องราวต่างๆ ที่ทำให้ทุกคนมีความสุข เช่น
งานเฉลิมฉลอง การมอบรางวัล
2.วางแผนกำหนดกิจกรรมให้สมบูรณ์ เช่น พิธีเปิด กำหนดการ จดหมายขอบคุณ การแสดง การนำเสนอ
ผลงาน
การสะท้อนผลงาน
ผู้สอนกระตุ้นให้ผู้เรียนสะท้อนความรู้สึกวิพากษ์ประเด็นสำคัญ เปรียบเทียบความแตกต่าง สรุปความรู้ที่
ได้จัดทำเอกสารเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ สื่อสิ่งพิมพ์ หนังสือเล่มเล็ก แฟ้มสะสมงาน

กลุ่มที่ 2 การสอนแบบวอลดอร์ฟ



              ผู้ริเริ่มแนวการสอนที่รู้จักชื่อแพร่หลายแบบวอลดอร์ฟ (Waldort)คือ รูดอร์ฟ สไตเนอร์(Rudolf 
Steiner) วิธีการสอนของสไตเนอร์หรือวอลดอร์ฟ นั้นจัดเป็นการเรียนการสอนแบบเน้นกิจกรรมการ
เล่น คือ ดนตรี จังหวะ บทเพลง นิทาน เพราะกิจกรรมเหล่านี้ช่วยส่งเสริมความคิดจินตนาการของเด็ก 
และช่วยพัฒนาการการเคลื่อนไหวของร่างกาย

แนวการเรียนการสอนของโรงเรียนวอลดอร์ฟ
         โรงเรียนแนวการเรียนการสอนแบบวอลดอร์ฟ เป็นแนวการศึกษาที่บูรณาการวิชาการไปกับกิจกรรม
ต่างๆ โดยมีครูคอยดูแลและอำนวยความสะดวก เน้นการจัดบรรยากาศในการเรียนการสอนที่เน้นความ
งดงามของธรรมชาติทั้งในกลางแจ้งและในห้องเรียน โดยเชื่อว่าช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่ดี เพื่อพัฒนาให้
เด็กเป็นมนุษย์ที่มีบุคลิกภาพที่สมดุลกลมกลืนไปกับโลกและสิ่งแวดล้อมและได้ใช้พลังงานทุกด้านอย่าง
พอเหมาะ

จุดเด่นของโรงเรียนแนวการสอนวอลดอร์ฟ
• เป้าหมาย คือ ช่วยให้มนุษย์บรรลุศักยภาพสูงสุดที่ตนมีและสามารถกำหนดความมุ่งหมายและแนวทาง
แก่ชีวิตของตนได้อย่างอิสระ
• เน้นเรื่องของการเชื่อมโยงมนุษย์กับจักรวาล โดยมีมุมมองว่า เด็กควรได้เล่นอย่างอิสระ ชีวิตเรียบง่าย
กลมกลืนกับธรรมชาติ เน้นการสอนให้รู้จักจุดยืนที่สมดุลของตนในการใช้ชีวิตอยู่บนโลก โดยผ่าน
กิจกรรม 3 อย่างคือ กิจกรรมทางกาย ผ่านอารมณ์ความรู้สึก และผ่านการคิด เน้นการให้เด็กได้ใช้พลังทุก
ด้าน ไม่ว่าจะเป็นสติปัญญา ด้านศิลปะ และด้านการปฏิบัติอย่างพอเหมาะ

กิจกรรมที่มุ่งเน้นในโรงเรียนวอลดอร์ฟ
          ส่วนใหญ่แล้วโรงเรียนแนววอลดอร์ฟมักจะเน้นไปที่การเรียนรู้แบบธรรมชาติ ไม่มีห้องเรียน ไม่มี
กระดานดำ แต่จะมีมุมต่างๆ ให้เด็กได้เรียนรู้ ได้เป็นอิสระที่จะคิดและสร้างสรรค์ หรือหากเด็กๆ ต้องการ
เล่นตุ๊กตา เล่นรถ ในห้องก็จะมีข้าวของที่ทำจากธรรมชาติให้ประดิษฐ์ดัดแปลงเล่นกัน เช่น ผ้าหลากสี 
ท่อนไม้ เปลือกไม้ ลูกสน เป็นต้น ทุกอย่างจะถูกกำหนดให้เป็นได้สารพัดตามแต่ใจเด็กๆ


กลุ่มที่ 3 การสอนแบบภาษาธรรมชาติ Whole  Language


ที่มาของการสอนภาษาแบบธรรมชาติ
         การสอนภาษาแบบธรรมชาติ  เกิดจากหลักการ และแนวคิด ของนักศึกษา นักวิจัยทางภาษาที่มีชื่อ
เสียง คือ Jean piaget ผู้เชื่อว่าการที่เด็กได้เคลื่อนไหวสัมผัสสิ่งต่างๆรอบตัวจะเป็นการคิดสร้างความรู้ขึ้น
ภายในตนหรือเด็กเป็นผู้กระทำ ไม่ใช่การรับเข้าไปเฉยๆ การเรียนรู้ของเด็กเกิดจากอิทธิพลทางสังคม 
และเชื่อว่าการสอนภาษาเป็นความสำคัญที่เด็กจะต้องใช้เพื่อการแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันของเด็กและ
ภาษามีความหมายต่อชีวิต การเรียนภาษาจึงต้องมาจากสิ่งที่เป็นจริงและเกี่ยวข้องกับเด็ก โดยเรียน
ภาษาแบบองค์รวมคือ เรียน ฟัง พูด อ่าน เขียนไปพร้อมกัน

การสอนภาษาแบบธรรมชาติ
         การสอนภาษาแบบธรรมชาติคือ การที่เด็กได้เรียนรู้ การใช้ภาษาทั้งด้านการ ฟัง พูด อ่าน เขียน 
เป็นไปตามธรรมชาติอย่างมีความหมายสอดคล้องเหมาะสมกับวัย  โดยไม่แยกว่าต้องอ่านก่อน เขียน
ก่อน แต่จะเน้นให้เด็กได้ลงมือกระทำด้วยตนเอง เช่นการอ่านนิทาน เล่าเรื่องราว ฟังเรื่องเล่าจากเพื่อน 
ฟังนิทานจากครู เป็นต้น



ทักษะที่ได้รับ
                        - ทักษะการคิด                     
                        - ทักษะการวางแผน
                        - ทักษะการแก้ไขปัญหา
                     
การประยุกย์ใช้
                        - นำไปใช้ในการวางแผนการเรียนการสอน

บรรยากาศภายในห้องเรียน
                         - อากาศเย็น แสงส่องเข้ามาในห้องเรียนพอสมควร

ประเมินตนเอง
                        ตั้งใจฟังอาจารย์
                        - ให้ความร่วมมือกับกิจกรรมเป็นอย่างดี

ประเมินเพื่อน
                       - เพื่อนๆทุกคนให้ความร่วมมือกับกิจกรรมเป็นอย่างดี

ประเมินอาจารย์
                        - แต่งกายสุภาพเรียบร้อย
                        - มีน้ำเสียงที่น่าฟัง พูดเสียงดังฟังชัด

วันจันทร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 4
วันจันทร์ ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2561
เวลา 8.30 - 11.30 น.

เนื้อหาการเรียน
                           - อาจารย์ให้นักศึกษากลุ่มที่ได้รับมอบหมายหัวข้องานออกมานำเสนองานตามหัวข้อ
กลุ่มที่ 1 รูปแบบการเรียนรู้แบบมอนเตสซอรี่
                

ที่มาของการเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่ คือ
          การเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่เกิดจากแนวคิดของมาเรีย มอนเตสซอรี่ (Maria Montessori) แพทย์หญิงชาวอิตาลีที่มีความเชื่อว่า “การให้การศึกษากับเด็กในวัยเริ่มต้น ไม่ใช่การนำความรู้ไปบอกเด็ก แต่ควรเป็นการปลูกฝังให้เด็กได้เจริญเติบโตไปตามความต้องการทางธรรมชาติของเขา” มอนเตสซอรี่เริ่มต้นนำแนวการสอนนี้ไปใช้กับเด็กที่มีพัฒนาการทางสติปัญญาล่าช้า โดยประดิษฐ์สื่อวัสดุอุปกรณ์ที่เป็นหัวใจสำคัญในการเปิดโอกาสให้เด็กได้ค้นพบสิ่งต่างๆด้วยตัวเอง

จุดมุ่งหมายของการสอนแบบมอนเตสซอรี่
       คือ “ช่วยพัฒนา หรือให้เด็กมีอิสระในด้านบุคลิกภาพของเด็กในวิถีทางต่างๆ อย่างมากมาย“ สิ่งแวดล้อมของโรงเรียนระบบมอนเตสซอรี่ คือ การจัดระบบเพื่อสะท้อนถึงศักยภาพที่แท้จริง และความต้องการของเด็ก เพื่อเด็กจะได้พัฒนาบุคลิกภาพของเขา

หลักสูตรของมอนเตสซอรี่สำหรับเด็กวัย 3-6 ขวบ ครอบคลุมการศึกษา 3 ด้าน
 1.ด้านทักษะกลไก (Motor Education)  หรือกลุ่มประสบการณ์ชีวิต มีจุดประสงค์เพื่อฝึกการดูแลและจัดการสิ่งแวดล้อมเด็กจะทำกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวเบื้องต้นของชีวิตประจำวัน เช่น มารยาทในการรับประทานอาหารเป็นต้น
2.ด้านประสาทสัมผัส (Education of the Senses)  มีจุดประสงค์เพื่อฝึกการสังเกต การใช้ประสาทสัมผัส ทั้งห้าเกี่ยวกับมิติรูปทรง ปริมาตรของแข็ง ของทึบ อุณหภูมิ เด็กจะได้รู้จักทรงกระบอก ลูกบาศก์ ปริซึม แขนงไม้ ชุดรูปทรงเรขาคณิต
3.ด้านการเขียนและคณิตศาสตร์ (Preparation For Writing and Arithmetic)  หรือกลุ่มวิชาการมีจุดประสงค์เพื่อเตรียมเด็กเข้าสู่ระดับประถมศึกษาเตรียมตัวด้านการอ่านการเขียนโดยธรรมชาติการประสมคำ คณิตศาสตร์



กลุ่มที่ 2 รูปแบบการเรียนการสอนแบบไฮสโคป


              การสอนเป็นกิจกรรมสร้างสรรค์การเรียนรู้พัฒนาคน  การเรียนรู้และการสอนทำให้มีการคิดเชื่อมโยงความรู้ได้อย่างรวดเร็วการศึกษาปฐมวัยจึงเป็นการศึกษาที่จัดให้แก่เด็ก6ขวบแรกเป็นการจัดกาiศึกษาเพื่อการดูแล และสร้างเสริมเด็กให้พัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ
             การสอนเด็กปฐมวัยไม่ใช่การถ่ายทอดความรู้  แต่เป็นการจัดประสบการณ์อย่างมีรูปแบบเพื่อส่งเสริมพัฒนาการพัฒนาสมรรถนะทางปัญญาและพัฒนาจิตนิยมที่ดีการเรียนการสอนสำหรับปฐมวัยมีหลากหลายรูปแบบแต่สำหรับรูปแบบที่ผู้เขียนจะนำเสนอนั้นก็เป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่มีความน่าสนใจอีกรูปแบบหนึ่งรูปแบบการเรียนการสอนที่ว่านั้นก็คือรูปแบบการเรียนการสอนแบบไฮสโคป

แนวคิดสำคัญ
             แนวการสอนแบบไฮสโคป เน้นการเรียนรู้แบบลงมือกระทำผ่านมุมเล่นที่หลากหลายด้วยสื่อและกิจกรรมที่เหมาะสมกับการพัฒนาการของเด็กและการแก้ปัญหาอย่างกระตือรือร้น
การเรียนการสอน
            การเรียนการสอนแบบไฮสโคป เป็นการสร้างองค์ความรู้จากการที่เด็กได้ลงมือจัดกระทำกับอุปกรณ์ หรือสิ่งแวดล้อมซึ่งถือเป็นประสบการณ์ตรง  โดยที่ครูจะเป็นคนเตรียมอุปกรณ์ให้กับเด็กและกระตุ้นให้เด็กพัฒนาและดำเนินกิจกรรม โดยใช้หลักปฏิบัติ 3  ประการ  คือ
Plan
           เป็นการกำหนดแนวทางการปฏิบัติหรือดำเนินงานตามที่ได้รับมอบหมาย  มีการสนทนาระหว่างครูกับเด็กว่าจะทำอะไร อย่างไร  การวางแผนกิจกรรมอาจจะใช้แสดงด้วยภาพหรือสัญลักษณ์ประจำตัวเด็ก
Do
          คือการลงมือกระทำตามแผนที่วางไว้เป็นส่วนที่เด็กได้ร่วมกันคิด แก้ปัญหา  ตัดสินใจและทำด้วยตนเองเป็นส่วนที่เด็กได้มีการพัฒนาการพูดและปฏิสัมพันธ์ทางสังคมสูง
Review
          เป็นช่วงที่ได้งานตามจุดประสงค์  ช่วงนี้จะมีการอภิปรายและเล่าถึงผลงานที่เด็กทำเพื่อทบทวนว่า เด็กสามารถปฏิบัติตามแผนที่วางไว้หรือไม่  มีการเปลี่ยนแปลงแผนอย่างไร  และชี้ให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างแผนกับการปฏิบัติ  และผลงานที่ทำ รวมถึงการเล่าประสบการณ์ต่างๆ ที่ได้รับ


ทักษะที่ได้รับ
                        - ทักษะการคิด                     
                        - ทักษะการวางแผน

                        - ทักษะการแก้ไขปัญหา
                     
การประยุกย์ใช้
                        - นำไปใช้ในการวางแผนการเรียนการสอน

บรรยากาศภายในห้องเรียน
                         - อากาศเย็น แสงส่องเข้ามาในห้องเรียนพอสมควร

ประเมินตนเอง
                        ตั้งใจฟังอาจารย์
                        - ให้ความร่วมมือกับกิจกรรมเป็นอย่างดี

ประเมินเพื่อน
                       - เพื่อนๆทุกคนให้ความร่วมมือกับกิจกรรมเป็นอย่างดี

ประเมินอาจารย์
                        - แต่งกายสุภาพเรียบร้อย
                        - มีน้ำเสียงที่น่าฟัง พูดเสียงดังฟังชัด